Nissan Skyline GT-R R33

Nissan Skyline GT-R R33 




กลับมาพบกันกับ “วาระปกติ” นะครับ กับ Reed It More ที่ครั้งนี้จะขอเสนอเรื่องราวของ SKYLINE GT-R รุ่นที่ 9 ในรหัสสวย “R33” ที่ออกแบบมาเน้นความเรียบหรู แบบ “สปอร์ตรุ่นใหญ่” แต่ว่าความดุดันใน R32 นั้น มัน “ตรึงจิต” จนยากที่จะถอน พอมาเปลี่ยนลุคใหม่ คนกลับนิยมน้อยลง เพราะมัน “ไม่ดุ” ซึ่งคนที่ชอบก็จะออก “ผู้ใหญ่วัยรุ่น” (รวมถึง “วัยแรด”) กันไปสักหน่อย และมาฮิตกันอีกทีก็คือ R34 ซึ่งเป็นการ “ปิดวิก” ตำนาน SKYLINE GT-R กับเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง อย่าง RB26DETT ไป ดังนั้น R33 ก็เหมือนกับเป็น “เส้นขอบฟ้าที่โลกลืม” แต่ความที่มัน “ดูแปลกแยก” แต่กลับกลายเป็น “เอกลักษณ์อีกทางหนึ่ง” ซึ่งก็มี “ชนกลุ่มน้อย” ที่หลงใหลในสไตล์ของมัน ซึ่งเราได้รับความรู้เชิงลึกจาก “SKYLINE R33 CLUB THAILAND” ที่ “ตัวพ่อ” ทั้งหลายได้ครอบครอง ส่วนในเล่มหน้า พร้อมเจาะลึกของแต่ง NISMO แบบ Super Rare Items ที่ “มีตังค์ก็ซื้อไม่ได้ทุกครั้งไป” พร้อมกับ R33 ที่แต่งด้วยของ Rare Item เป็น Version ต่างๆ อีก “เกินครึ่งโหล” ห้ามพลาดทั้งฉบับนี้ และฉบับหน้า เด็ดขาดครับ…


Full Grand Touring Style


R33 จะออกแบบรูปทรงมาดู “หนัก” กว่า R32 ด้วยความที่ต้องการให้เป็นรถสปอร์ตในลักษณะของ GT หรือ Grand Touring ที่มี 4 ที่นั่ง แบบที่ด้านหลังสามารถ “นั่งได้จริง” แน่นอนว่า SKYLINE ก็ยืนหยัดรูปแบบ GT มาตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งไม่ถือว่าเป็นสปอร์ตพันธุ์แท้ เนื่องจากว่ามีแบบ 4 ประตู เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งสปอร์ตแท้ๆ อย่าง FAIRLADY Z นั้นจะมีเฉพาะ 2 ประตู เท่านั้น สำหรับ R33 จะยืดขนาด “ช่วงล้อหน้าถึงหลัง” ให้ยาวถึง 2,720 มม. ส่วน R32 จะอยู่เพียง 2,612 มม. ทำให้ห้องโดยสารของ R33 นั้น สามารถ “ยืด” ให้นั่งสบายขึ้นกว่า R32 และมีความกว้างขวาง นั่งสบาย คนที่เล่น R33 จะชอบตรงนี้กันมาก เพราะมัน “นั่งทางไกลแล้วสบาย” และด้วยน้ำหนักรถเปล่าถึง “1,540 กก.” (V-SPEC) ทำให้เกิดความนุ่มนวล หนักแน่นมากขึ้น…

6 สูบเรียง เท่านั้น !!!

R33 จะมีการเปลี่ยนแปลงในด้านเครื่องยนต์ของรุ่น “น้องรอง” แต่ที่แน่ๆ จะมีจำหน่ายเฉพาะบล็อก “RB” เท่านั้น ซึ่งบล็อกเล็กๆ 4 สูบ อย่างตัว CA18E ใน R32 4 ประตู ตัวถูกสุดนั้นไม่มีอีกต่อไป ในรุ่น GTS (HR33) จะเป็นเครื่อง RB20E 12 วาล์ว 130 PS ขึ้นมาเลยก็เป็น GTS-25 (ER33 และ ENR33 ที่เป็น 4WD) จะเป็นเครื่อง RB25DE ที่พัฒนาจากเครื่อง R32 รุ่น GXE โดยมีระบบ “กระดิกแคมไอดี” หรือ NVCS (NISSAN Valve Timing Control System คนละเรื่องกับ VVL นะ) ส่วน GTS-25T (ECR33) ก็จะเป็น RB25DET 250 PS ซึ่งเป็น “ยีบห้าเทอร์โบ” ที่ยอดฮิตกันนั่นเอง แต่รุ่นเทอร์โบนี้ไม่มี “ขับสี่” นะครับ และสุดๆ กับ RB26DETT 280 PS ใน GT-R รหัสBCNR33 ซึ่งเป็นตัวแรงที่เราจะพูดถึงในครั้งนี้…


Tips

รหัสต่างๆ ที่ NISSAN SKYLINE ใช้มายาวนาน มีดังนี้…


H หมายถึง เครื่องยนต์ 6 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ตั้งแต่ L20 ไปจนถึง RB20

E หมายถึง เครื่องยนต์ 6 สูบ ขนาดเกินกว่า 2.0 ลิตร ถ้าใน R33 ก็คือ RB25 นั่นเอง…

B หมายถึง เครื่องยนต์ RB26DETT แน่นอน…

N จะหมายถึง “ขับเคลื่อนสี่ล้อ” และมีระบบ “ATTESSA” ควบคุม ซึ่งจะใช้กันในรถขับสี่แบบสปอร์ตของค่ายตัวอื่นๆ ที่ใช้ระบบนี้ ด้วย เช่น PULSAR GTi-R “RNN14” เป็นต้น…

R รุ่นรถ ถ้าเป็น SKYLINE ก็จะ “เริ่ม” ใช้รหัส R3X จาก R30 ปี 1981 (ก่อนหน้าคือ C210 ไม่มี R29 นะจ๊ะ) ไปยัน R35 ปัจจุบันกันเลย…

“ถอดรหัส” อะไรคือ C ใน BCNR33


ระบบ Super-HICAS และ ATTESSA ET-S PRO ที่ให้วงเลี้ยวแคบลง เปิดให้ล้อหลังเลี้ยวช่วย ลดอาการ “อันเดอร์สเตียร์” และกระจายแรงไปยังล้อคู่หน้าและหลัง ตามอาการรถจริงได้เหนือกว่ารุ่นธรรมดา
Tips “Super-HICAS” ดีกว่าตรงไหน

ระบบ HICAS ของ R32 ยังต้องใช้แรงดันจากปั๊มเพาเวอร์ จากการหมุนพวงมาลัยมาควบคุมการเลี้ยวของล้อหลังอยู่ ปั๊มเพาเวอร์จะมี 2 ห้อง คุมแร็คหน้าและหลัง ส่วน Super-HICAS ใน R33 จะควบคุมการเลี้ยวด้วย “ไฟฟ้า” โดยตรง ปั๊มเพาเวอร์จะตัวเล็กลง เหลือเพียง 1 ห้อง คุมแร็คหน้าเท่านั้น โดยประมวลผลจาก “เซ็นเซอร์ที่คอพวงมาลัย” และ G-Sensor ที่ด้านในจะเป็น Crystal Clock ส่งสัญญาณว่าตอนนี้รถเอียงไปทางไหน จะมีมอเตอร์ไฟฟ้าคอย “ขยับการเลี้ยว” โดยตรง ทำให้ไม่ต้องใช้น้ำมันไฮดรอลิกมาดัน สำหรับ “องศาการเลี้ยว” ก็ช่วยเพียง 1-2 องศา (โดยประมาณ) แต่มีผลมาก ในการเลี้ยว หากเป็นความเร็วต่ำกว่า 80 km/h ล้อหลังจะเลี้ยว “สวนทางกับล้อหน้า” เพื่อให้วงเลี้ยวแคบ ขับสะดวก แต่ถ้าความเร็วเกินกว่านั้น ล้อหลังจะเลี้ยว “ทิศทางเดียวกับล้อหน้า” เพื่อให้เข้าโค้งได้ง่ายขึ้น…



ยุคสุดท้ายของ R33 แล้วครับ ก่อนจะเปลี่ยนเป็น R34 ในปีนี้ NISSAN เทของดีๆใส่หลายอย่าง เนื่องจากว่า “ต้องการโกอินเตอร์” ส่งรถไปขายในประเทศต่างๆ รวมถึง “อเมริกา” ด้วย ซึ่ง R33 ก็เน้นหนักในด้าน Safety ให้สูงสุด แต่ก็มีกระแสว่าทางอเมริกาได้ “กด” ด้วยกฎหมายมลพิษ (Emission Control) ที่เข้มงวดมาก ทำให้ GT-R ไม่สามารถผ่านไปขายในอเมริกาได้ เนื่องจากเครื่อง RB26DETT เป็นนิสัย “ใช้กำลังในรอบค่อนข้างสูง” ถ้าไปตอนให้น้ำมันบาง ก็คงจะไม่เหมาะนัก อีกอย่าง ในอเมริกาจะใช้น้ำมันออกเทน 91 เป็นหลัก (ซึ่ง GT-R จะให้ดีก็ต้องออกเทน 98 ขึ้นไปจนถึง 100 ในญี่ปุ่นและยุโรปบางประเทศ) ทำให้ “แรงม้าตกแน่ๆ” ยุ่งยากมากนัก ไม่ทำแม่งเลยดีกว่า ก่อนอื่นเรามาดู “สเป็กญี่ปุ่น” กันก่อนดีกว่า ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง…

ไฟหน้าเปลี่ยนเป็น XENON พร้อมเลนส์แบบ Projector ที่ให้ความสว่างและมุมมองที่กว้างขึ้น บ้านเราจะเรียกว่า ไฟลูกแก้ว…
กันชนหน้า จะมีรูจมูกเหมือน N1 และสังเกตดีๆ ที่ไฟเลี้ยวใต้กันชนฝั่งซ้าย ด้านข้างจะมี “ช่องดักลม” สำหรับไปเป่า “ออยล์คูลเลอร์” ที่เป็น Optional และข้างกันชนด้านซ้าย “บางคัน” ก็ใส่ “ช่องลมเสริม” เป็นการระบายลมที่เป่าออยล์ฯ ออกด้านข้าง ไม่ไปปนกับลมที่หมุนวนในซุ้มล้อ สไตล์รถแข่ง GT…
ลิ้นหน้า (Front lip) จะใหญ่กว่าเดิม 20 มม. ทำให้ด้านหน้าเตี้ยลง ช่องดักลมเป่าเบรกจะมีขนาดใหญ่ขึ้นแน่นอน…
ไฟถอยหลังจะเป็น “สีแดง” ในฝั่งขวา ฝั่งซ้ายเป็นสีขาวเหมือนเดิม…
ไฟเบรก เวลาเบรกจะติดเพียง 2 วงนอก เท่านั้น (ตอนแรกก็นึกว่าหลอดขาด) แต่ไฟท้าย จะติด 4 วง…
กระจกประตู เปลี่ยนเป็นวัสดุ Hydrophobic ที่ทนทานกว่าเดิม และกระจกรอบคัน สามารถสั่งพิเศษเป็น UV CUT Coating ได้…
เพิ่มคานยึดขวางที่บริเวณพื้นตรงหลุมเก็บยางอะไหล่ทั้งสองฝั่ง เพื่อเสริมความแข็งแรงให้ช่วงล่างหลังนั้น “นิ่ง” มากขึ้น ซึ่งรุ่นก่อนหน้ามี Comment ว่าถ้าเข้าโค้งแรงๆ ตัวถังส่วนด้านหลังยังแข็งไม่พอ ขออีกหน่อย…
ภายใน จะเปลี่ยนจาก “สีม่วง” เป็น “สีแดง” ดูสปอร์ตมากขึ้น…
สีรถยังคงเหมือน Series II แต่จะไม่มีสีรุ่น LM Limited ซึ่งจบไปใน Series II แล้ว…   
ตัว Actuator ของ ABS จะเปลี่ยนให้เล็กลง


ขอบคูณข้อมูลดีๆจาก


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม